ความเกี่ยวข้องกับพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ของ พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า


ในสมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มีมานพผู้หนึ่งนามว่า สรทมานพ เกิดเบื่อหน่ายในโลก จึงบวชเป็นชฎิลดาบส บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จวิชาสมถกัมมัฏฐาน เหาะเหินเดินอากาศ มีอิทธิฤทธิ์ ส่งกระแสจิตได้ พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญาณจึงเสด็จไปโปรดสรทมานพ สรทมานพได้พบพระพุทธองค์เกิดความเลื่อมใสจึงอาราธนาให้ทรงประทับบนบัลบังก์ของตน แล้วส่งกระแสจิตเรียกลูกศิษย์ของตน ขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ทรงอธิษฐานจิตให้อัครสาวกและสาวกทั้งมวลของพระองค์มารวมกัน ณ ที่แห่งนี้โดยทันที


สรทดาบสให้ลูกศิษย์นำดอกไม้มาทำเป็นบัลลังก์ ดอกไม้เพียงน้อยนิดทำให้เกิดบัลลังก์ขนาดใหญ่ ยาวหลายโยชน์ แล้งจึงอัญเชิญพระพุทธองค์และเหล่าสาวกประทับนั่งบนบัลลังก์บุปผชาติ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าจะเข้าสู่นิโรธสมาบัติ เป็นเวลา ๗ วัน เพื่อที่จะให้การทำสักการะนี้มีอานิสงส์ไพศาล โดยสรทมานพมีศรัทธาแรงกล้า ใช้บุปผาฉัตรกางกั้นเพื่อให้ร่มเงาแก่พระองค์เป็นเวลา ๗ วัน โดยไม่หยุดพัก


เมื่อครบ ๗ วัน พระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกออกจากนิโรธสมาบัติ รับสั่งให้อัครสาวกเบื้องขวา คือพระนิสภะแสดงธรรม สรทดาบสมีจิตใจเลื่อมใสในพระนิสภะ แล้วจึงให้พระอโนเถระแสดงธรรมต่อ แต่ไม่มีผู้ใดสำเร็จมรรคผลเลย พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมเอง ทำให้เหล่าลูกศิษย์ทั้งหมดของมานพหนุ่มสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เหลือแต่สรทมานพเพียงผู้เดียว เพราะคอยถือบุปผาฉัตรตลอดเวลา และชื่นชมในพระนิสภะตลอดเวลา จิตใจจึงไม่ได้สนใจพระธรรม พระพุทธองค์ทรงทราบดีแล้วแต่ก็ตรัสถามว่าเหตุใดถึงเพ่งมองดูพระนิสภะจนมิได้ฟังธรรม สรทมานพจึงตอบไปว่า ท่านไม่หวังเป็นอินทร์พรหมใดๆ ขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง


พระอโนมทัสสี จึงทรงมีกระแสพุทธพยากรณ์แก่สรทมานพ ว่าจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสมณโคตมพุทธเจ้า นามว่า พระสารีบุตร และสิริวัฒน์เศรษฐี สหายรักของสรทมานพจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเคียงข้าง นามว่า พระโมคคัลลานะ


เมื่อสรทมานพได้ฟังก็เกิดจิตใจเลื่อมใส เมื่อพระพุทธองค์และพระสาวกเสด็จกลับแล้ว ก็เหาะไปหาสิริวัฒน์เศรษฐีและแจ้งข่าวนี้ ทั้งสองจึงยินดีบำเพ็ญเพียรเพื่อให้ได้เป็นอัครสาวก ออกบวชในพระพุทธศาสนา สิ้นอายุขัยเวียนว่ายตายเกิดจนสำเร็จพระอรหันต์ในกาลสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้แล